ทำด้วยใจ ให้ด้วยรัก
จิตอาสา ใครว่าเป็นจิตอาสาแล้วไม่ดี สำหรับฉันการได้ช่วยเหลือคนอื่นคือสิ่งที่มีความสุขและเป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วม สังคม และประเทศชาติ ฉันชอบช่วยเหลือคนอื่นมาตั้งแต่ที่ตัวเองสามารถจะออกไปช่วยเหลือใครได้ ฉันเป็นเด็กจิตอาสาตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน ฉันเรียนและเริ่มช่วยเหลือผู้อื่นไปด้วย เริ่มจากการแบ่งปันขนม ดินสอ หรือ อุปกรณ์การเรียน ต่างๆ ให้เพื่อน การให้ทำให้เรารู้จักเป็นคนเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน เข้าใจผู้อื่น ฉันจึงมีเพื่อนเยอะ และเพื่อนๆ ของฉันก็เป็นแบบฉันด้วย ทุกๆ พักกลางวันหรือมีเวลาว่าง ถ้าไม่มีกิจธุระอะไรฉันและเพื่อนชอบไปช่วยคุณครูจัดของในห้องพักครู บางวันได้ค่าตอบแทนเป็นขนมหรือคำชม ซึ่งสำหรับบางคนอาจจะมีความหมายมากกว่าได้รับเป็นเงิน การมีมิตรภาพ ความรัก รอบตัวทำให้รู้สึกมีความสุข มีคุณค่า และมีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตต่อไป
ฉันช่วยเหลือผู้อื่นมาตลอด จนกระทั่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยฉันก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ เพราะเหมือนปลูกฝังอยู่ในจิตใจ และมันเป็นไปตามอัตโนมัติ ฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในห้องเรียนของสาขาฉันมีเพื่อน 24 คน ต่างคนต่างมีนิสัยแตกต่างกัน บางคนก็มีนิสัยเอาเปรียบเพื่อน บางคนก็เลือกคบเพื่อน และบางคนก็มีจิตสาธารณะฉันเลือกที่จะอยู่กลุ่มเพื่อนที่ธรรมดาแต่จริงใจ ช่วยเหลือกันและกัน 4ปี ในรั้วมหาวิทยาลัยฉันเรียนรู้แทบทุกอย่าง เป็นทั้งกรรมการบริหารนักศึกษา กรรมการนักศึกษามหาวิทยาลัย การช่วยเหลือผู้อื่นนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ ฉันจึงได้รับความเมตตา เอ็นดูจากผู้ใหญ่ อาจารย์หลายๆ ท่าน
เวลาทางมหาวิทยาลัยมีงานอะไร อาจารย์ก็เรียกฉันและเพื่อนไปช่วยเสมอ เรียกว่าขาดไม่ได้เลยแหละ อิอิ การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอาจจะมีบ้างในการมีปัญหากับเพื่อน ฉันมีปัญหากับเพื่อนเพราะว่าฉันทำงานอาสามากเกินไป และฉันร้องขอให้เพื่อนไปช่วยตลอด เพื่อนฉันจึงค่อยๆ ถอยห่างจากฉัน แต่ฉันก็นังเดินหน้าที่จะทำแบบนี้ต่อไป ไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อนแล้วจะทำไม่ได้ เปล่าเลย ฉันยังสนุกในแบบของฉันเสมอมา ต่อให้ไปทำคนเดียวก็ทำได้และสบายมาก ฉันอาสาไปทุกที่ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้น
การเดินทางของฉันทำให้ได้ประสบการณ์และเพื่อนต่างเพศ ต่างที่มากมาย ฉันไม่เคยเหงา แม้จะเดินทางไปไหนคนเดียวฉันรู้ว่ายังไงก็ต้องได้เพื่อนกลับมา และมันก็เป็นอย่างที่คิด ฉันไปอาสาที่ไหนก็ได้เพื่อนทุกครั้ง ครั้งที่ประทับใจที่สุดคือไปปรับปรุง ทาสี ให้กับโรงเรียนเล็กๆ โรงเรียนหนึ่งใน จ.กาญจนบุรี โรงเรียนนั้นเป็นโรงเรียนที่เล็กมาก เเละมีนักเรียนประมาณแค่ 200 กว่าคน ฉันไปถึงจึงไปนำสีมาทาสนามเด็กเล่นให้มีสีสันขึ้น จากนั้นไม่นานฉันก็พบเพื่อนใหม่ คุยกันถูกคอเเละยังเป็นเพื่อนกันถึงทุกวันนี้ เพื่อนสาวคนนี้ตัวเล็ก น่ารัก และชอบช่วยเหลือทุกคนเช่นกัน การมีเพื่อนที่เป็นเหมือนกันมันช่างดีเหลือเกิน เพียงแต่ว่าฉันกับเขาเรียนคนละที่แต่ว่างๆ จะนัดเจอกันตลอดและเวลามีงานอาสาก็จะชวนกันตลอด ไม่ว่าจะไปที่ไหน อาสาที่ไหน เราจะไปด้วยกันเสมอ เธอชื่อว่า “อุ๊”
โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่10 ฉันสมัครเป็นจิตอาสาพระราชทาน เพื่อทำคุณ ประโยชน์ให้กับประเทศชาติ เเละในการเป็นจิตอาสานี้สิ่งที่จะได้รับมี เสื้อ หมวก เเละผ้าพันคอจิตอาสา ฉันภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ
จนวันที่ฉันเรียนจบมหาวิทยาลัย การเป็นจิตอาสาก็ยังดำเนินอยู่จนวันทำงาน ระหว่างที่รอทำงาน ฉันได้ออกช่วยเหลือทุกที่ที่มีให้อาสาไป การเก็บขยะ กวาดถนน มันอาจจะมองเป็นเรื่องไร้สาระหรือไม่มีประโยชน์สำหรับบางคน เเต่สำหรับฉันมันคือการปลูกฝังจิตสำนึกของตัวเราเอง ซึ่งเเน่นอนการอยู่ที่สังคมที่มีเเต่คนคิดดี จิตใจดี ย่อมน่าอยู่เสมอ ฉันทำเเบบนี้ตลอด ถึงเเม้ว่าเพื่อนวัยเดียวกับฉันจะไม่สนใจ เเต่ฉันก็ยังทำเพราะทำเเล้วมีความสุข
ถึงตอนนี้ก็หลายปีเเล้วที่ฉันเป็นจิตอาสามา ถึงวันที่โตเป็นผู้ใหญ่เพียงพอ เมื่อนึกย้อนไปในอดีตฉันกลับมีความสุขเมื่อเลือกทางนี้เเละบอกตัวเองเสมอว่าคิดถูกเเล้ว หัวใจฉันไม่เคยคิดว่าเหนื่อยเเต่มันคือความสุขที่เเท้จริง ความสุขที่ได้เเบ่งปัน ความสุขที่ได้ช่วยเหลือ ช่วยโดยไม่หวังสิ่งตอบเเทน เเต่ฉันมักจะได้สิ่งตอบเเทนมาทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นขนม ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถือว่าเป็นกำลังใจให้ตัวเอง ฉันมีเพื่อนมากมายหลังจากที่ได้ทำอาสาเเละมีคนอยากมาทำด้วยเยอะเเยะ นี่ก็เป็นอีกความสุขหนึ่งที่เหมือนเราได้ชักชวนเพื่อนๆ มาร่วมกิจกรรม สร้างสรรค์คุณประโยชน์ เเละเพื่อนๆ ที่มาทำด้วยต่างมีรอยยิ้มเเละเสียงหัวเราะกลับไปเสมอ
ฉันโชคดีที่มีคนรอบกายดีเเละคอยช่วยเหลือ เเละฉันก็อยากทำเเบบนี้ไปเรื่อยๆ เเละถึงตอนนี้ฉันอายุ 25 ปีเเล้ว ฉันก็ยังสนุกกับการทำกิจกรรมเเบบนี้อยู่ เพราะความรู้สึกได้ผ่อนคลาย ไม่เครียด เเละมีความสุขเเถมได้บุญ ได้รอยยิ้มจากคนรอบข้าง ได้มิตรภาพที่สวยงาม เเละสร้างสรรค์โลกให้น่าอยู่ ฉันเชื่อว่าทุกคนอยากมีาสังคมที่มีเเต่ความรักความเอื้ออาทร มิตรไมตรี มากกว่าสังคมที่เเกร่งเเย่งชิงดีชิงเด่นกัน สังคมที่เเบ่งปันกันมักมีเเต่รอยยิ้ม เเละฉันอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
ฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เรียนมาด้วยกันตอนมหาวิทยาลัย เธอเป็นคนหน้าตาสวยมาก เเละเรียนเก่ง เธอเป็นที่ชื่นชมของใครหลายๆ คนเสมอ เพราะเธอชอบช่วยเหลือคนอื่น เธอเป็นคนขี้สงสารเเละเเคร์ความรู้สึกคน เวลาเธอเห็นขอทานที่ไหนเธอจะรีบนำขอไปให้ ไม่ให้เปนเงิน ก็เป็นข้าวหรือขนม เเละเธอให้เเบบนี้เป็นประจำ ซึ่งเธอบอกว่าเวลาให้ใครเเล้ว มันทำให้จิตใจของเธอดีขึ้นทุกครั้งเเละใช้ชีวิตมีความสุขเสมอเพราะเธอเชื่อว่าการทำดีกับใครก่อนนั้นมีค่าเเละเป็นความดีงาม
เเละเธอยังช่วยงานอาจารย์เเละงานต่างๆ อีกด้วย หลังเลิกเรียนบางครั้งเธอจะชวนฉันไปช่วยทำความสะอาดห้องพักครู ทำให้ครูอาจารย์หลายๆ ท่านเอ็นดูในตัวเธอ เเละมักจะให้ของกินนกลับมาด้วยเสมอ เธอมีความสุขมาก เธอทำเเบบนี้มาตลอดเเละเเท้กระทั่งตอนนี้เธอก็ยังทำเช่นเดียวกับฉัน ฉันเเละเธอเชื่อว่า ความกตัญญูต่อบิดามารดา ต่อผู้มีพระคุณ เเละต่อเเผ่นดินเกิด จะทำให้เราเจริญรุ่งเรือง มีเเต่ความาสุข เเละฉันกับเพื่อนจะทำความดีต่อไป
“จิตอาสา”